จากทองหล่อถึงซอยโรงปูน แค่เปลี่ยนซอย เมืองเดียวกันมีทั้งฝันและความจริง

ชีวิตในเมืองความเหลื่อมล้ำทางสังคมชุมชนและวัฒนธรรมเศรษฐกิจและการทำงาน

Rittikiat Sutthikhun

เมื่อกรุงเทพฯ กลายเป็นเมืองของความเหลื่อมล้ำ

เคยสังเกตมั้ยว่า เวลาเราขึ้น BTS แล้วมองลงไปข้างล่าง บางทีก็เหมือนกับกำลังมองดูสองโลกที่แตกต่างกันสุดขั้ว ฝั่งหนึ่งเป็นตึกแก้วเงางามสู้เสียดฟ้า ฝั่งหนึ่งเป็นชุมชนแออัดที่ดูเหมือนจะถูกบีบให้เล็กลงทุกวันจนไม่เหลือคำว่า “ชุมชน” อีกฟากฝั่งคือโครงการของอนาคตที่เติบโตขึ้นเพื่อพัฒนา “เมือง” กรุงเทพฯ มันเป็นเมืองที่แปลกจริงๆ ในระยะทางแค่ไม่กี่กิโลเมตร เราสามารถเจอทั้งคนที่ใช้เงินซื้อกาแฟแก้วละ 250 บาทได้แบบไม่ต้องคิดอะไรมาก และคนกลุ่มนึงที่ต้องคิดมาจากบ้านก่อนแล้วว่าเงิน 250 บาท จะใช้ยังไงให้พ้นวันไปในสำหรับวันนี้

เราจะมาดูสองย่านที่เป็นตัวแทนของความเหลื่อมล้ำนี้ให้ชัดเจน นั่นคือ "ทองหล่อ" ย่านที่กลายเป็นสัญลักษณ์ของไลฟ์สไตล์คนรุ่นใหม่ที่มีเงิน กับ "ซอยโรงปูน" ย่านที่เป็นบ้านของคนงาน แท็กซี่ และแรงงานที่ต้องมาหาเลี้ยงชีพในเมืองหลวง

สองย่านนี้อยู่ไม่ไกลกัน ถ้าขับรถก็ประมาณ 10-15 นาที แต่ความแตกต่างมันเหมือนอยู่คนละดาวเคราะห์ คนทองหล่อตื่นมาดื่มคอลด์เพรสที่ราคาแพงกว่าค่าข้าวมื้อหนึ่งของคนซอยโรงปูน ส่วนคนซอยโรงปูนตื่นมาเตรียมตัวไปทำงานให้คนทองหล่อได้ใช้ชีวิตสะดวกสบาย

ที่น่าสนใจคือ ทั้งสองกลุ่มคนนี้พึ่งพาอาศัยกันอย่างแยกไม่ออก แต่ไม่เคยได้มีโอกาสเข้าใจกันจริงๆ เหมือนกับเป็นเฟืองเครื่องจักรที่หมุนไปด้วยกัน แต่ไม่เคยได้สัมผัสกัน มาดูกันว่า ชีวิตของคนสองกลุ่มนี้มันแตกต่างกันขนาดไหน และทำไมพวกเขาถึงไม่มีวันได้เจอกันจริงๆ แม้ว่าจะอยู่บนเมืองเดียวกัน ใช้ชีวิตร่วมกันทุกวัน

ไลฟ์สไตล์ "คนทองหล่อ" กับความหรูหราที่ลงตัว

ทองหล่อนี่แหละ เป็นเหมือนสวรรค์บนดินสำหรับคนที่อยากเป็น "คนในเมือง" ให้ได้สมบูรณ์แบบ คนที่มาอยู่ที่นี่มันไม่ใช่แค่หาที่อยู่อาศัย แต่มาหา "สถานะ" มากกว่า มาหาความรู้สึกว่าตัวเองมี class มี taste และที่สำคัญ มีเงินพอที่จะใช้ชีวิตแบบที่ใครๆ ก็อยากได้

เช้าตื่นมาที่ทองหล่อ ไม่ต้องกังวลเรื่องจะกินอะไร เพราะเดินออกจากคอนโดแป๊บเดียวก็เจอร้านกาแฟราคาแพงๆ ที่ขายแก้วละ 250-350 บาท แต่คนก็ยังแห่ไปนั่งถ่ายรูปอัพสตอรี่ เพราะบรรยากาศดี แสงสวย กาแฟหอม และที่สำคัญ ช้อปปิ้งแท็กใน IG Story แล้วดูดี ดูมี lifestyle เสียงกุญแจรถ BMW หรือ Mercedes ที่จอดอยู่หน้าร้านยิ่งเพิ่มความโก้เก๋มีระดับ

ร้านอาหารในทองหล่อก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง ฟิวชั่นเต็มไปหมด อ่านเมนูแล้วงงว่าเป็นอาหารไทยหรือเปล่า มีแต่ "Tom Yum Risotto" "Pad Thai Carbonara" หรือ "Som Tam Salad with Quinoa" ราคาจานละ 400-600 บาท แต่เค้าบอกว่าเป็นอาหารไทย premium version ที่ใช้วัตถุดิบคุณภาพสูง organic imported นั่นแหละ

คนที่มาอยู่ทองหล่อส่วนใหญ่เป็นพวกที่ทำงานในบริษัทใหญ่ๆ วัย 25-40 ปี มีเงินเดือนเดือนละ 50,000 บาทขึ้นไป หรือไม่ก็เป็นลูกเศรษฐี influencer ดารา หรือคนที่มีธุรกิจส่วนตัว พวกเขาเลือกอยู่ที่นี่เพราะอยากได้ความสะดวกสบายครบเครื่อง ออฟฟิศใกล้ ห้างใกล้ คาเฟ่เยอะ ร้านนวดสปาเก่าเป็นร้อย มีฟิตเนสแพงๆ ที่มีเทรนเนอร์คุมอย่างใกล้ชิด มี co-working space สวยๆ ให้นั่งทำงาน

คือการใช้ชีวิตแบบ "เงินซื้อเวลา" ได้สุดๆ อยากได้อะไรก็ไปซื้อ อยากกินอะไรก็ไปสั่ง อยากไปไหนก็เรียก Grab แพงหน่อยก็ช่างมัน ไม่ต้องคิดมากเรื่องราคา เพราะเวลามีค่ากว่าเงิน และความสะดวกสบายนั้นคุ้มค่ากับการจ่าย คนกลุ่มนี้มักจะ work from home บ้าง ไปออฟฟิศบ้าง มีความยืดหยุ่นในการทำงาน เลยต้องการ environment ที่ support การใช้ชีวิตแบบนี้

ที่ทองหล่อมันเหมือนเป็น ecosystem ที่สร้างมาเพื่อคนพวกนี้โดยเฉพาะ ทุกอย่างออกแบบมาให้ใช้ชีวิตได้อย่างมีสไตล์ มีการเซอร์วิส มีความเป็น premium ตั้งแต่ร้านซักรีด ร้านตัดผม ร้านทำเล็บ จนถึงร้านขายของใช้ในบ้าน ล้วนแล้วแต่มีราคาที่สูงกว่าค่าเฉลี่ย แต่ก็มีคุณภาพและบรรยากาศที่คุ้มค่ากับการจ่าย

และที่สำคัญที่สุด คนที่อยู่ทองหล่อไม่ได้แค่ซื้อที่อยู่ พวกเขาซื้อ "การยอมรับทางสังคม" ด้วย เพราะการบอกว่าอยู่ทองหล่อ มันส่งสัญญาณว่าเราเป็นคนที่ประสบความสำเร็จ มีรสนิยม ทันสมัย และรู้จักใช้ชีวิต นี่คือเหตุผลที่คนยอมจ่ายค่าเช่าแพงๆ เพื่อได้อยู่ที่นี่ เพราะมันไม่ใช่แค่ที่อยู่ แต่เป็นส่วนหนึ่งของ identity ของพวกเขาและทำให้เพิ่มคุณค่าของ awareness ทางสังคม

ซอยโรงปูน: ชีวิตแท็กซี่และแรงงานที่ต้องดิ้นรน

ฝั่งซอยโรงปูนนี่เป็นอีกโลกหนึ่งเลย โลกที่ตื่นมาตอน 4 โมงเช้าเพื่อไปเปิดมิเตอร์ขับแท็กซี่ โลกที่กินข้าวต้มหรือข้าวผัดไข่ดาวข้างทางเป็นอาหารเช้า ราคาจานละ 35-40 บาท แล้วต้องคิดว่าจานนี้จะอิ่มไปจนเที่ยงได้มั้ย ที่นี่เป็นที่รวมตัวของคนขับแท็กซี่ คนอีสาน แรงงานก่อสร้าง คนขายของริมทาง พ่อค้าแม่ค้าตลาดนัด และคนที่ต้องทำงานหนักด้วยแรงกายเพื่อให้คนในย่านหรูหราได้ใช้ชีวิตสะดวกสบาย

คนที่อยู่ที่นี่ไม่ได้มาเพื่อ lifestyle แต่มาเพื่อความอยู่รอดเพื่อยกระดับฐานะทางสังคมอันน้อยนิด มาเพื่อโอกาสที่จะหาเงินได้ในเมืองหลวง คนอีสานมาอยู่ที่นี่เพราะค่าเช่าถูก หาเช่าห้องได้ราคา 3,000-5,000 บาทต่อเดือน ถ้าอยู่รวมกันสี่ห้าคนก็จ่ายคนละ 800-1,000 บาท ส่งเงินกลับบ้านยังพอเหลือ พวกเขาไม่ได้เลือกว่าจะอยู่ที่ไหน แต่เลือกตามงบที่มี ตามความจำเป็นหรือแม้กระทั่งตามงานที่หาได้ในแหล่งนั้น

ในซอยโรงปูน ตลอด24ชั่วโมง คุณจะเห็นคนขับแท็กซี่เริ่มออกมาล้างรถ เช็ดกระจก เตรียมรถก่อนออกไปรับแขก เสียงเครื่องยนต์ติดดับเป็นจังหวะ เสียงวิทยุดังก้องไปทั่วซอย ลุงป้าคนขับแท็กซี่จะมาอยู่รวมตัวกันที่ร้านลาบก้อย อาหารตามสั่ง อาหารข้างทาง ในราคาไม่เกิน 50 บาท กินกาแฟกระป๋องเครื่องดื่มชูกำลัง พร้อมกับพูดคุยเรื่องราววันนี้จะไปวิ่งแถวไหน ที่ไหนมีงาน ที่ไหนจราจรติด ที่ไหนตำรวจเยอะจนไปถึงอัพเดทเรื่องการเมืองรายวัน

คนอีสานส่วนใหญ่ที่มาอยู่ที่นี่จะทำงานหลายอย่าง เช้าไปเป็นคนทำความสะอาดในออฟฟิศ บ่ายไปขายส้มตำริมทาง เย็นไปล้างจานในร้านอาหาร ทำทุกอย่างที่หาเงินได้ เพื่อส่งเงินกลับไปให้ลูกที่บ้านได้เรียนหนังสือ เพื่อพ่อแม่ที่แก่ได้ใช้ค่าหมอ เพื่อหนี้สินที่ยังคงค้างอยู่

คนก่อสร้างที่อยู่ที่นี่จะออกไปทำงานตั้งแต่เช้าตรู่ กลับมาเย็นๆ เหนื่อยล้าแต่งบไม่ค่อยพอ เพราะงานก่อสร้างในกรุงเทพฯ มันไม่สม่ำเสมอ วันนี้มีงานก็ไป วันพรุ่งนี้หยุดก็อยู่เฉยๆ พวกเขาต้องประหยัดทุกบาททุกสตางค์ เพราะไม่รู้ว่าพรุ่งนี้จะมีงานทำหรือไม่

ซอยโรงปูนเป็นเหมือนฐานปฏิบัติการของเสาหลักทางเศรษฐกิจที่ไม่มีใครเห็น คนขับแท็กซี่จอดรถพักที่นี่ก่อนจะไปรับคนในย่านทองหล่อ คนทำความสะอาดอาศัยอยู่ที่นี่แล้วไปทำงานในออฟฟิศของคนรวย คนส่งของจอดพักกินข้าวก่อนที่จะไปส่งเอกสาร-พัสดุให้ผู้คนในอีกหลายตึก คนขายข้าวเหนียวหมูปิ้ง, คนซ่อมบำรุง, คนเก็บขยะ, คนรักษาความปลอดภัย ล้วนแล้วแต่เป็นคนที่ต้อง "รับใช้" ระบบเศรษฐกิจของย่านหรูหรา แต่ตัวเองกลับอยู่ในสภาพที่ขาดแคลนไม่มีความมั่นคงในระยะยาว

ที่นี่ไม่มีร้านกาแฟหรูหรา แต่มีร้านโรตีป้าจำนงราคา 15 บาท ที่ขายดีที่สุดในซอย ไม่มีร้านอาหารฟิวชั่น แต่มีข้าวแกงตามสั่งจานละ 40 บาท ได้เยอะ อิ่มท้อง ไม่มีฟิตเนสแพงๆ แต่มีสวนสาธารณะกับเครื่องเล่นขึ้นสนิ่มใต้ทางด่วน ที่เด็กๆ ในซอยมาเล่นกันตอนเย็นทุกวัน ไม่มีสปา แต่มีร้านนวดแผนโบราณราคาเริ่มต้น 150 บาทต่อชั่วโมง ที่หลายๆคนทำงานหนักทั้งวันมานวดคลายเมื่อย

คนที่นี่ไม่ได้เลือกอยู่เพราะชอบ แต่อยู่เพราะจำเป็น เพราะที่นี่คือจุดที่ใกล้กับแหล่งงาน ใกล้กับความหวัง ใกล้กับโอกาสที่จะหาเงินได้ในเมืองหลวง แม้ว่าจะต้องอยู่ในสภาพแวดล้อมที่แออัด เสียงดัง ฝุ่นเยอะ ไม่มีพื้นที่สีเขียว แต่ก็ยังดีกว่าการอยู่บ้านนอกที่ไม่มีงานทำ

พวกเขาส่งเงินกลับบ้านเดือนละ 5,000-8,000 บาท ออมเงินได้เดือนละ 2,000-3,000 บาท ถ้าไม่ป่วย ถ้าไม่มีเหตุฉุกเฉิน ถ้าไม่โดนโกง ถ้าไม่เจ็บป่วย ถ้าไม่มีอุบัติเหตุ ชีวิตของพวกเขาเปราะบางมาก แต่ก็เหนียวแน่น เพราะพวกเขารู้ดีว่าต้องอดทนเพื่ออะไร เพื่อใคร และยังไงก็ต้องสู้ต่อไป

ขอบคุณภาพประกอบจาก.....
https://pixabay.com/th/images/search/bangkok/?pagi=5

สองโลกบนเมืองเดียวกัน

นี่แหละคือความเหลื่อมล้ำที่แปลกและน่าคิดมาก ทองหล่อกับซอยโรงปูนอยู่ห่างกันแค่ไม่กี่กิโลเมตร ขับรถไปมาก็แค่ 15-20 นาที แต่เป็นสองโลกที่ไม่เคยมาบรรจบเลยจริงๆ เหมือนกับมีกำแพงใสที่มองเห็นแต่ข้ามไม่ได้ คนทองหล่อใช้ชีวิตแบบ "ซื้อความสะดวกสบาย" ส่วนคนซอยโรงปูนใช้ชีวิตแบบ "ขายแรงงานเพื่อความอยู่รอด" แต่พอกลางคืนมาถึง ทั้งสองกลุ่มก็กลับไปนอนหลับฝันบนเมืองเดียวกัน ภายใต้ฟ้าเดียวกัน ใส่หายใจอากาศมลพิษเดียวกัน

สิ่งที่น่าสนใจที่สุดคือ ทั้งสองกลุ่มคนนี้ต้องการกันและกัน แต่ไม่เคยได้เข้าใจกัน คนทองหล่อต้องการให้มีคนขับแท็กซี่ คนทำความสะอาด คนส่งอาหาร คนรักษาความปลอดภัย เพื่อให้ชีวิตสะดวกสบาย แต่เวลาเจอคนกลุ่มนี้บนรถ BTS หรือในลิฟต์ก็เหมือนมองไม่เห็น เหมือนพวกเขาเป็นแค่ "บริการ" ไม่ใช่ "คน" ที่มีชีวิต มีครอบครัว มีความฝัน

ส่วนคนซอยโรงปูนก็ต้องการคนทองหล่อเหมือนกัน เพราะพวกเขาคือลูกค้า คือคนที่จ้างงาน คือคนที่ทำให้มีเงินมีรายได้ แต่ในใจลึกๆ กลับมีความรู้สึกผสมผสาน ทั้งอิจฉา ทั้งโกรธ ทั้งปรารถนา ที่อยากได้ชีวิตแบบนั้นบ้าง แต่ก็รู้ดีว่าคงจะเป็นไปได้ยาก

เวลาเช้าๆ คุณจะเห็นภาพที่ประหลาดใจ คนซอยโรงปูนขึ้นรถไฟฟ้าไปทำงานในย่านธุรกิจ ส่วนคนทองหล่อก็ขึ้นรถไฟฟ้าเดียวกันไปทำงาน แต่พวกเขาไม่เคยสบตากัน ไม่เคยพูดคุยกัน แม้จะยืนเคียงข้างกันในรถไฟที่แออัด คนหนึ่งกำลังคิดเรื่องจะไปกินอะไรดีที่ร้านหรูๆ ตอนเที่ยง อีกคนกำลังคิดว่าข้าวกล่อง 40 บาทที่ซื้อเช้านี้จะอิ่มไปจนเย็นได้มั้ย

ที่ทำให้เศร้าใจคือ ระบบนี้ออกแบบมาให้คนสองกลุ่มนี้ไม่ต้องเจอกันจริงๆ แอปพลิเคชั่นทำให้คนรวยสั่งอาหารได้โดยไม่ต้องเจอหน้าคนส่ง เทคโนโลยีทำให้สั่งแท็กซี่ได้โดยไม่ต้องคุยกับคนขับ ระบบการเงินทำให้จ่ายเงินผ่านแอปได้โดยไม่ต้องแลกเปลี่ยนความเป็นมนุษย์กัน ทุกอย่างถูกออกแบบมาให้เป็น transaction ที่เย็นชา ไม่ใช่ interaction ที่อบอุ่น

แต่ที่จริงแล้ว เวลาที่ทั้งสองกลุ่มได้พูดคุยกันจริงๆ มันกลับไม่ได้แย่อย่างที่คิด คนทองหล่อที่ได้คุยกับคนขับแท็กซี่ อาจจะรู้ว่าลุงคนนี้ส่งลูกเรียนจบปริญญาตรีแล้ว หรือป้าทำความสะอาดที่ทำงานมา 20 ปี อาจจะให้คำแนะนำชีวิตที่ลึกซึ้งกว่าโค้ชหรือคอนซัลแตนท์ที่จ้างมา แต่โอกาสแบบนี้มันหายากเหลือเกิน

สังคมเราสร้างกำแพงแบบนี้ขึ้นมาเพราะเรากลัวว่า ถ้าคนรวยเห็นความจริงของคนจน เขาอาจจะรู้สึกผิด รู้สึกไม่สบายใจกับชีวิตที่สบายเกินไป และถ้าคนจนเห็นความจริงของคนรวย เขาอาจจะโกรธมากขึ้น หงุดหงิดมากขึ้น หรือยิ่งปรารถนาในสิ่งที่ไม่มีมากขึ้น

นี่มันคือวัฏจักรชีวิตที่ไม่มีวันได้บรรจบ ที่คนรวยต้องการคนจน แต่ไม่อยากเห็นคนจน คนจนต้องพึ่งคนรวย แต่ไม่มีทางไปเป็นคนรวยได้ แล้วทั้งสองกลุ่มก็ยังคงใช้ชีวิตร่วมกันอย่างแปลกประหลาดในเมืองที่เหลื่อมล้ำเหมือนบันไดที่ไม่มีวันขึ้นลงมาเจอกัน ทุกคนติดอยู่ในบทบาทของตัวเอง ทุกคนก็มีความสุขและความทุกข์ในแบบของตัวเอง

กรุงเทพฯ เลยกลายเป็นเมืองแห่งความขัดแย้งที่สวยงาม เมืองที่ทุกคนต้องการความเปลี่ยนแปลง แต่ไม่มีใครอยากเป็นคนเปลี่ยน เมืองที่ทุกคนรู้ว่าระบบนี้ไม่ยุติธรรม แต่ทุกคนก็ยังคงเล่นเกมนี้ต่อไป เพราะไม่รู้ว่าจะเล่นเกมไหนแทน

อาจจะวันหนึ่ง กำแพงใสระหว่างทองหล่อกับซอยโรงปูนจะบางลง คนสองกลุ่มจะได้มีโอกาสเข้าใจกันมากขึ้น แต่ตอนนี้ พวกเขายังคงอยู่ในโลกที่ขนานกัน มองเห็นกันแต่ไม่เคยได้สัมผัสกัน เหมือนเงาในกระจกที่ไม่มีวันก้าวออกมาจากกรอบได้